พระวัปปะ หรือ พระวัปปะเถระ
พระวัปปะ หรือ พระวัปปะเถระ เป็นพระภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์ และพระอสีติมหาสาวก พระวัปปะ เมื่อได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว มีบทบาทสำคัญในการช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาในช่วงต้นพุทธกาล ท่านดำรงอายุพอสมควรแก่กาล ก็ดับขันธปรินิพพาน
ท่านพระวัปปะ เป็นบุตรพราหมณ์ในเมืองกบิลพัศดุ์ เมื่อคราวพระมหาบุรุษประสูติใหม่ พราหมณ์ผู้บิดาของท่านได้รับเชิญเลี้ยงโภชนาหาร ในพระราชพิธีทำนายพระลักษณะ ได้เห็นพระมหาบุรุษ มีพระลักษณะถูกต้อง ตามตำราลักษณะพยากรณ์ศาสตร์ จึงมีความเคารพนับถือในพระองค์เป็นอันมาก แต่ความหมดหวัง ในการที่จะได้เห็น พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตนใกล้จะสิ้นชีวิต จึงได้สั่งสอนบุตรของตนไว้ว่า เมื่อพระมหาบุรุษ เสด็จออกทรงผนวชแล้ว ให้ติดตามเสด็จเมื่อนั้น ครั้นเมื่อพระมหาบุรุษเสด็จออกทรงผนวชแล้ว และกำลังบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ท่านพระวัปปะ พร้อมด้วยพราหมณ์ 4 คน มีโกณฑัญญพราหมณ์เป็นหัวหน้า จึงพากันออกบวชเป็นฤาษี ตามเสด็จพระมหาบุรุษ คอยอยู่เฝ้าปฏิบัติทุกเช้าค่ำ ด้วยหวังว่า พระองค์ได้บรรลุธรรมอันใดแล้ว ก็จักได้สั่งสอนให้ตนได้บรรลุธรรมนั้นบ้าง เมื่อเห็นพระองค์ทรงละทุกกรกิริยา ที่ทรงประพฤติมาแล้วเป็นเวลา 6 ปี จึงมีความเห็นร่วมกันว่า พระองค์คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก ในกามคุณเสียแล้ว และคงจะไม่ได้บรรลุธรรมวิเศษ อันใดอันหนึ่งแน่นอน จึงมีความเบื่อหน่าย คลายความเคารพนับถือ พากันหลีกไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสีฯ
บรรลุธรรม
เมื่อพระมหาบุรุษ ทรงบำเพ็ญเพียรทางใจได้ตรัสรู้แล้ว จึงเสด็จไปโปรดแสดงพระธรรมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนา ในเมื่อจบเทศนานั้น ท่านหาได้สำเร็จมรรคผลอะไรไม่ วันรุ่งขึ้น ได้ฟัง ปกิรณกเทศนา จึงได้ดวงตาเห็นธรรม (ในอรรถกถาตติยสามนต์แก้ว่า การได้ดวงตาเห็นธรรมของท่านทั้งสี่นี้ สืบต่อไป ไม่ได้พร้อมกัน ได้คนละวัน คือ วันปาฏิบท วันค่ำหนึ่ง ท่านพระวัปปะ ได้ดวงตาเห็นธรรม วันที่สองท่านภัททิยะ วันที่สามท่านมหานามะ วันที่สี่ท่านพระอัสสชิ วันที่ห้า แสดงอนัตตลักขณสูตรฯ) คือ ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็น พระโสดาบัน จึงได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบท ในพระธรรมวินัยฯ
สำเร็จอรหันต์
พระองค์ทรงอนุญาตให้ท่านเป็นพระภิกษุ ด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” เมื่อมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ได้ฟังเทศนา อนัตตลักขณสูตร ก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล เป็น พระอรหันต์ ผู้ชื่อว่า อเสขบุคคล (พระอเสขบุคคล คือ ผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอะไรอื่นอีกต่อไป) ท่านได้ช่วยเป็นกำลังพระบรมศาสดา ประกาศพระศาสนาคราวแรกองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงอายุสังขาร อยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพานฯ..
ที่มา http://www.thammapedia.com/sankha/maha_wappa.php
ท่านพระวัปปะ เป็นบุตรพราหมณ์ในเมืองกบิลพัศดุ์ เมื่อคราวพระมหาบุรุษประสูติใหม่ พราหมณ์ผู้บิดาของท่านได้รับเชิญเลี้ยงโภชนาหาร ในพระราชพิธีทำนายพระลักษณะ ได้เห็นพระมหาบุรุษ มีพระลักษณะถูกต้อง ตามตำราลักษณะพยากรณ์ศาสตร์ จึงมีความเคารพนับถือในพระองค์เป็นอันมาก แต่ความหมดหวัง ในการที่จะได้เห็น พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตนใกล้จะสิ้นชีวิต จึงได้สั่งสอนบุตรของตนไว้ว่า เมื่อพระมหาบุรุษ เสด็จออกทรงผนวชแล้ว ให้ติดตามเสด็จเมื่อนั้น ครั้นเมื่อพระมหาบุรุษเสด็จออกทรงผนวชแล้ว และกำลังบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ท่านพระวัปปะ พร้อมด้วยพราหมณ์ 4 คน มีโกณฑัญญพราหมณ์เป็นหัวหน้า จึงพากันออกบวชเป็นฤาษี ตามเสด็จพระมหาบุรุษ คอยอยู่เฝ้าปฏิบัติทุกเช้าค่ำ ด้วยหวังว่า พระองค์ได้บรรลุธรรมอันใดแล้ว ก็จักได้สั่งสอนให้ตนได้บรรลุธรรมนั้นบ้าง เมื่อเห็นพระองค์ทรงละทุกกรกิริยา ที่ทรงประพฤติมาแล้วเป็นเวลา 6 ปี จึงมีความเห็นร่วมกันว่า พระองค์คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก ในกามคุณเสียแล้ว และคงจะไม่ได้บรรลุธรรมวิเศษ อันใดอันหนึ่งแน่นอน จึงมีความเบื่อหน่าย คลายความเคารพนับถือ พากันหลีกไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสีฯ
บรรลุธรรม
เมื่อพระมหาบุรุษ ทรงบำเพ็ญเพียรทางใจได้ตรัสรู้แล้ว จึงเสด็จไปโปรดแสดงพระธรรมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนา ในเมื่อจบเทศนานั้น ท่านหาได้สำเร็จมรรคผลอะไรไม่ วันรุ่งขึ้น ได้ฟัง ปกิรณกเทศนา จึงได้ดวงตาเห็นธรรม (ในอรรถกถาตติยสามนต์แก้ว่า การได้ดวงตาเห็นธรรมของท่านทั้งสี่นี้ สืบต่อไป ไม่ได้พร้อมกัน ได้คนละวัน คือ วันปาฏิบท วันค่ำหนึ่ง ท่านพระวัปปะ ได้ดวงตาเห็นธรรม วันที่สองท่านภัททิยะ วันที่สามท่านมหานามะ วันที่สี่ท่านพระอัสสชิ วันที่ห้า แสดงอนัตตลักขณสูตรฯ) คือ ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็น พระโสดาบัน จึงได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบท ในพระธรรมวินัยฯ
สำเร็จอรหันต์
พระองค์ทรงอนุญาตให้ท่านเป็นพระภิกษุ ด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” เมื่อมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ได้ฟังเทศนา อนัตตลักขณสูตร ก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล เป็น พระอรหันต์ ผู้ชื่อว่า อเสขบุคคล (พระอเสขบุคคล คือ ผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอะไรอื่นอีกต่อไป) ท่านได้ช่วยเป็นกำลังพระบรมศาสดา ประกาศพระศาสนาคราวแรกองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงอายุสังขาร อยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพานฯ..
ที่มา http://www.thammapedia.com/sankha/maha_wappa.php
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น