วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

บทที่ 14 ตํานานผาแดงนางไอ่


 ตํานานผาแดงนางไอ่

 
                                 
       ตาม เรื่องที่เล่าขานสืบต่อกันมามูลเหตุที่ทำให้เกิด "หนองหาน" ต้นลำน้ำปาว ในปัจจุบันมีเรื่องเกี่ยวพันกับวรรณคดีของอีสานเรื่อง "ผาแดง - นางไอ่"นิยายรักระหว่าง "หนึ่งหญิง สองชาย"เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพลาดรักและถูกทำร้ายจนตายก็กลายเป็นสงครามทำให้ บ้านเมืองถล่มทลายเป็นหนองน้ำใหญ่และวรรณคดีอีสานเรื่องนี้เป็นปฐมเหตุของ "ประเพณีบุญบั้งไฟ" ซึ่งเป็นประเพณีที่ขึ้นชื่อลือชาของชาวอีสานตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน เรื่องมีอยู่ว่า
     "พระยาขอม"ผู้ครอง "เมืองเอกชะทีตา"ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๔ เมืองใหญ่ในยุคอดีต(เมืองเอกชะทีตานคร เมืองสาเกตุนคร เมืองศรีโคตรบูรณ์นคร และเมืองอินทรปัตถ์หรือเมืองพนมเปญนคร)ที่สาบานและคอยปกปักรักษาและบูรณะ ซ่อมแซม "พระธาตุพนม"(พระธาตุเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ในสุวรรณภูมิทวีปแห่งนี้ ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ. ๘ โดยพระมหากัสสปะเถระ และเหล่าอรหันต์สาวกที่เหาะเหิรมาจากประเทศอินเดีย เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุพระอุรังคธาตุ(กระดูกส่วนอกของพระ พุทธองค์)ในพระธาตุพนมแห่งนี้ โดยเจ้ากรุงใหญ่ทั้ง ๔ เมืองในยุคนั้น สัญญากันว่าจะคอยผลัดกันเป็นเจ้าภาพดูแลและบูรณะปฏิสังขรณ์คราวละ ๔ ปี โดยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป พระยาขอมมีพระญาติเป็นกษัตริย์และเป็นเจ้าเมืองต่างๆมากมาย เช่น พระอนุชาคือพระยาแดดครองเมืองฟ้าแดดสูงยาง พระอนุชาอีกพระองค์คือพระยาเชียงเหียนครองเมืองเชียงเหียน พระราชนัดดาต่างก็ครองเมืองต่างๆ เช่น เมืองหงส์ เมืองไพร และเมืองทอง เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่าพระยาขอมเมืองเอกชะทีตาน้ันมั่นคง แข็งแรง อุดมสมบูรณ์และเป็นปึกแผ่นยิ่งนัก เมืองต่างๆก็ยำเกรงและชื่นชมในพระบารมีของพระองค์ พระยาขอมมีธิดานางหนึ่งชื่อ "นางไอ่คำ"เป็นสตรีที่มีรูปร่างสวยสดงดงามมากสวยงามกว่านางฟ้าและเทพธิดาใน สรวงสวรรค์อีก โดยพระบิดาและพระมารดาต่างก็รักใคร่ทนุถนอมยิ่งนัก ได้สร้างปราสาท ๗ ชั้นให้อยู่กับนางบริวารรับใช้ ไม่เปิดโอกาสให้มาคลุกคลีกับคนทั่วๆ ไปโดยเฉพาะผู้ชายแต่อย่างใด นางไอ่คำก็เจริญวัยขึ้นและเมื่อโตเป็นวัยรุ่นแล้ว ความสวยงามของนางเป็นที่เลืองลือไปถึงบรรดาเจ้าชายเมืองต่าง ๆ จนเป็นที่หมายปองอยากจะได้มาเป็นคู่ครองและเป็นพระมเหสีกันทุกพระองค์  “ท้าวผาแดง”โอรส ของเจ้าเมือง "ผาโพง"ได้ทราบข่าวเล่าลือถึงความงดงามของนางไอ่ก็เกิดความหลงใหลใฝ่ฝันใน ตัวนางเป็นอันมาก จึงวางแผนทอดสัมพันธไมตรีด้วยการเตรียมแก้วแหวนเงินทองพร้อมด้วยผ้าเนื้อดี ไปฝากนางไอ่มากมาย เมื่อมหาดเล็กนำสิ่งของไปมอบให้นางไอ่ตามที่ท้าวผาแดงประสงค์ และเล่าถึงความรูปหล่อ ความสง่างาม องอาจ ผึ่งผาย สมชายชาตรีของผาแดงให้นางไอ่ฟังเท่านั้น นางก็เกิดความสนใจและฝากเครื่องบรรณาการไปให้ท้าวผาแดง เป็นการตอบแทนด้วยเช่นกัน ก่อนที่มหาดเล็ก จะเดินทางกลับนางไอ่คำได้ฝากคำกล่าวเชิญท้าวผาแดงซึ่งตั้งทัพรออยู่นอกเมือง ไม่ให้เข้าไปในเมืองขอม เพื่อรอพบกับนางที่นอกเมืองก่อนด้วย และเมื่อทั้งสองได้พบกัน ต่างก็ตกตะลึงในกันและกันแล้วก็เกิดความรักขึ้นอย่างรุนแรงและลึกซึ้งเกิน หักห้ามใจ อาจเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสในชาติปางก่อนของทั้งคู่ ในที่สุดทั้งสองก็ได้ครองรักกันเป็นสามีภรรยาของกันและกัน และทั้งคู่ก็ได้ แลกสวมแหวนเป็นสัญญารักให้ไว้แก่กันและกันด้วย ท้าวผาแดงสัญญาไว้ว่าจะกลับมาสู่ขอนางไอ่ไปเป็นภรรยาคู่ชีวิตในเร็ววัน  ฝ่าย “ท้าวพังคี”โอรส ของพญานาคราชเมืองบาดาล ก็ได้ยินกิตติศัพท์ถึงความงดงามของนางไอ่เช่นเดียวกัน ก็เลยอยากจะมายลโฉมนางไอ่เช่นกัน อันเนื่องด้วยบุพกรรมในอดีตชาติบันดาลให้เป็นไป โดยเรื่องมีอยู่ว่า ท้าวพังคีในอดีตชาตินั้นเป็นชายหนุ่มที่ยากจนและเป็นใบ้เดินทางขอทานไปตาม หมู่บ้านต่างๆจนมาถึงบ้านของเศรษฐีคนหนึ่งจึงได้ไปขออาศัยอยู่และช่วยทำงาน ให้เศรษฐีคนนั้นโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยทำให้เศรษฐีพอใจและรักใคร่ เป็นอย่างมากถึงกับยกลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นชาติปางก่อน (อดีตชาติ)ของนางไอ่ให้เป็นภรรยาท้าวพังคี ในชาตินั้นเป็นชายหนุ่มที่ไม่เหมือนใครแทนที่จะรักใคร่ภรรยา ของตนแต่เขาเขากลับไม่สนใจใยดี ไม่เคยรวมหลับนอนด้วยกันแม้แต่ครั้งเดียวแต่ภรรยาก็ไม่เคยปริปากบอกให้ใคร ทราบนางปรนนิบัติสามีเยื่องภรรยาที่ดีเสมอมา ต่อมาท้าวพังคีคิดถึงบ้านจึงพาภรรยาเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนของตน เศรษฐีผู้เป็นบิดาจัดเสบียงให้มีภรรยาเป็นคนหาบเสบียงให้ ส่วน หนุ่มพังคีไม่เคย ช่วยเหลือนางเลยทำให้นางลำบากและเหน็ดเหนื่อยมากในขณะที่เดินข้ามห้วย ภูเขาและป่าดงพงไพรจนกระทั่งเสบียงที่นำไปหมดลงกลางทางท้าวพังคีเห็นต้น มะเดื่อมีผลสุกเต็มต้นจึงขึ้นไปเก็บกินต่างข้าว ฝ่ายนางไอ่คอยให้สามีโยนผลมะเดื่อสุกลงมาให้ แต่ไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด ส่วนสามีกินอิ่มคนเดียวแล้วลงมาจากต้นมะเดื่อเดินหนีไป นางจึงตัดสินใจขึ้นไปเก็บกินเองเมื่อนางกินอิ่มแล้วลงจากต้นมะเดื่อ ไม่พบสามีเดินตามหาอย่างไรไม่พบ นางจึงมีความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งพอมาถึงต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง นางจึงลงไปอาบน้ำและดื่มกินพอมีความสดชื่นขึ้นมาบ้าง แล้วนางก็ตั้งจิตอธิษฐาน"ชาติหน้าขอให้สามีนอนตายอยู่บนกิ่งไม้อย่าได้เป็น สามีภรรยากันอีกเลย"ด้วยแรงอธิษฐานของนางในชาติต่อมาสามีของนางจึงเกิดมา เป็นท้าวพังคีส่วนนางได้เกิดมาเป็นนางไอ่คำนั้นเอง  เมื่อ นางไอ่ผู้มีสิริโฉมงดงามเติบโตเป็นสาวแล้วพระยาขอมผู้เป็นบิดาได้มีใบฎีกา แจ้งข่าวให้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างๆ ให้จัดทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันที่เมืองเอกชะทีตา โดยมีจุดประสงค์เพื่อจุดขึ้นไปบูชาพระยาแถนอยู่บนฟ้าให้บันดาลให้ฝนตกลงมา ตามฤดูกาลประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง หากบั้งไฟของคนใดขึ้นสูงกว่าเพื่อนคนนั้นจะได้นางไอ่ไปเป็นคู่ครอง โดยพระยาขอมได้กำหนดให้จัดงานขึ้นในวัน ขึ้น๑๕ ค่ำเดือน ๖ เป็นวันงาน ทำให้บ้านเมืองน้อยใหญ่พากันทำบุญบั้งไฟหมื่นบั้งไฟแสนมาแข่งกันมากมาย งานบุญบั้งไฟครั้งนั้นนับเป็นงานที่ใหญ่โตมากเพราะเป็นงานของกษัตริย์ พอถึงวันงานผู้คนต่างหลั่งไหลมาทั่วทุกสารทิศ ในงานมีมหรสพสมโภชต่างอย่างสนุกสนานมากมาย มีการแข่งขันตีกอง หรือภาษาอีสานเรียกว่า "เส็งกอง"กันอย่างครึกครื้น หนุ่มสาวต่าง “จ่ายผญา” เกี้ยวพาราศีกันอย่างสนุกสนาน แม้งานบุญบั้งไฟครั้งนี้ท้าวผาแดงจะไม่ได้รับหนังสือฎีกาบอกบุญแต่ก็ได้นำ บั้งไฟมาร่วมงานด้วย(เป็นแผนของพระยาขอมที่จะพิสูจน์รักแท้ของผาแดงที่มีต่อ นางไอ่ เพราะหากรักจริงรักแท้แล้ว ถึงไม่เชิญก็ต้องมาวันยังค่ำ ซึ่งผาแดงก็มาร่วมงานนี้จริงๆ เพราะว่าทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่นางไอ่คำคนเดียวเท่านั้น อยากมาหาอยากมาเห็นหน้าและอยู่ใกล้ชิดทุกวินาทีเลยทีเดียว และยังขมักเขม้นขมีขมันซุ่มทำบั้งไฟอย่างดีเพื่องานนี้โดยเฉพาะ โดยพระองค์ได้เฝ้าควบคุมดูแลและสั่งการการทำบั้งไฟทุกขั้นตอนด้วยพระองค์เอง เลยทีเดียว) พระยา ขอมก็ได้ให้การต้อนรับท้าวผาแดงเป็นอย่างดี ฝ่ายท้าวพังคีโอรสเจ้าเมืองบาดาลทราบข่าวอยากมาร่วมงานที่เมืองมนุษย์ด้วย ทั้งนี้เพราะท้าวพังคีต้องการชมโฉมนางไอ่ เป็นกำลังอยู่แล้วและคิดในใจว่าจะต้องไปชมบุญบั้งไฟครั้งนี้ให้ได้ แม้ว่าพระบิดาจะห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับพวกมนุษย์อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะโผล่ขึ้นที่เมืองเอกชะทีตาของพระยาขอมท้าวพังคีสั่งให้บริวารแปลง ร่างเป็นมนูษย์บ้างเป็นสัตว์บ้าง ส่วนตนเองแปลงร่างเป็น"กระรอกเผือก" หรือภาษาอีสานเรียก "กระ ฮอกด่อน"ออกติดตามชมความงามของนางไอ่ตามขบวนแห่ของเจ้าเมืองไปอย่างหลงใหล การแข่งขันบั้งไฟ เป็นไปด้วยความสนุกสนานทุกคนจดจ่ออยากรู้ว่าใครจะชนะและใครจะได้นางไอ่เป็น คู่ครอง ซึ่งการแข่งขันบั้งไฟในครั้งนั้นท้าวผาแดงกับพระยาขอมมีการพนันกันว่าถ้า บั้งไฟของท้าวผาแดงชนะพระยาขอมก็จะยกนางไอ่ให้เป็นคู่ครอง ผล การแข่งขันปรากฏว่าบั้งไฟของพระยาขอมและท้าวผาแดงต่างไม่ขึ้นด้วยกันทั้งสอง บั้ง(ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งพระยานาคท้าวพังคีที่ได้บังคับให้บั้งไฟของพระยาขอม ไม่ขึ้น หรือ “ซุ” ส่วนบั้งไฟของผาแดงนั้น พญานาคได้ใช้ฤทธิ์ทำให้แตก “ระเบิด”กลางอากาศ หรือ “แตกกลางบั้ง” ทั้งๆที่บั้งไฟจากฝีมือช่างของเมืองผาโพงนั้นดีมากและจะชนะบั้งไฟจากทุก เมือง) คงมีแต่บั้งไฟของพระยาแดด "เมืองฟ้าแดดสูงยาง" และบั้งไฟจาก "เมืองเชียงเหียน"ของพระยาเชียงเหียนเท่านั้นที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นเวลานาน ถึงสามวันสามคืนจึงตกลงมายังพื้นดิน แต่พระยาทั้งสองนั้นเป็นอาของนางไอ่ด้วย การแข่งขันเพื่อได้นางไอ่เป็นรางวัลนั้นจึงต้องล้มเลิกไป เมื่อ งานบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นแล้วท้าวผาแดงและท้าวพังคีต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมือง ของตน ในที่สุดท้าวพังคีทนอยู่ในเมืองบาดาลต่อไปไม่ได้เพราะหลงใหลในสิริโฉมของนาง ไอ่ จึงพาบริวารกลับมายังเมืองมนุษย์อีกโดยแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกอย่างเดิม ส่วนที่คอจะแขวนกระดิ่งทองไว้ และได้กระโดดไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางไอ่ เสียงกระดิ่งทองดังกังวาลขึ้นนางไอ่ได้ยินเสียงกระดิ่งเกิดความสงสัยจึงเปิด หน้าต่างออกมาดู เห็นกระรอกเผือกแล้ว มีความพอใจอยากได้ นางจึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีจากบ้านกงพาน ให้ตามจับกระรอกเผือกตัวนั้นมาให้ได้ไม่ว่าจะจับตายหรือจับเป็น นายพรานออกติดตามกระรอกเผือกที่กระโดดไปตามกิ่งไม้ เริ่มตั้งแต่บ้านพันดอนบ้านน้ำฆ้อง นายพรานไม่ได้โอกาสเหมาะสักทีจึงไล่ติดตามไปเรื่อย ๆ จนถึงบ้านนาแบก บ้านดอนเงิน บ้านยางหล่อ บ้านเหล่าใหญ่ บ้านเมืองพรึก บ้านม่วง ก็ไม่มีโอกาสยิงกระรอกสักที ในที่สุดผลกรรมเก่าในอดีตส่งผลตามมาทัน ขณะที่กระรอกมาถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้นกระรอกได้ก้มหน้าก้มตากินผล มะเดื่อสุกด้วยความหิวโหย นายพรานจึงได้โอกาสยิงกระรอกด้วยหน้าไม้ซึ่งเป็นลูกดอกอาบยาพิษ เมื่อถูกยิงท้าวพังคีในร่างของกระรอกเผือกรู้สึกเจ็บปวดมาก เมื่อรู้ตัวว่าตนเองว่าจะต้องตายแน่นอน จึงสั่งให้บริวารนำความไปแจ้งให้บิดาของตนทราบด้วย โดยก่อนตายพังคีในร่างกระรอกเผือกได้อธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนมีมากมายถึงแปดพันเล่มเกวียนพอเลี้ยงคนได้ทั่วถึงทั้งเมือง เมื่อกระรอกสิ้นใจตายนายพรานกับพวกได้นำเอาไปชำแหละที่บ้านเชียงแหว โดยแบ่งให้ผู้คนทั้งบ้านใกล้และบ้านไกลได้กินกันโดยทั่วถึงยกเว้น "บ้านดอนแม่หม้าย"ที่ไม่มีผัวหรือ "บ้านดอนแก้ว"ซึ่งเป็นเกาะอยู่กลางทุ่งหนองหานที่รอดพ้นจากการถูกถล่มทลาย และยังปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อ บริวารไปบอก "พระยาศรีสุทโธนาคราช"เจ้าแห่งบาดาลผู้เป็นบิดาของพังคี ก็โกรธแค้นเดือดดาลเป็นอย่างมาก พร้อมกับประกาศก้องว่า "พวกมึงจงขึ้นไปถล่มเมืองเอกชะทีตาให้ล่มจมในบัดนี้ และใครที่กินเนื้อลูกของกูพวกมึงจงอย่าไว้ชีวิตพวกมัน" จึงสั่งบ่าวไพร่จัด พลขึ้นไปอาละวาดบนโลกมนุษย์เสียงดังครืน ๆ ทั่วแผ่นดินของเมืองเอกชะทีตา ขณะที่บ้านเมืองถูกพระยานาคถล่มทลายอยู่นั้น ท้าวผาแดงกำลังขี่ม้า"บักสาม"มุ่งหน้าไปหานางไอ่ด้วยความรักและความคิดถึงใจ จะขาด ก็ได้เห็นนาคเต็มไปหมดและได้เล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางไอ่ฟัง นางไอ่ไม่สนใจแต่ได้ทำอาหารที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมาให้ผาแดงรับประทาน ท้าวผาแดงจึงถามว่าเนื้ออะไรจึงมีกลิ่นหอมนัก ก็ได้รับคำตอบว่าเนื้อกระรอกเผือกที่ถูกนายพรานยิงตาย แต่ผาแดงไม่ยอมกินอาหารนั้น(และยังถูกกระแนะกระแหนว่า "หึงแม้กระทั่งกระรอกที่ตายแล้ว" จึงไม่พูดอะไรต่ออีก)ได้แต่กินอย่างอื่นแทน พอตกตอนกลางคืนขณะที่ผู้คนหลับสนิทเหตุการณ์ที่ใคร ๆ ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คือมีเสียงดังครืน ๆ ทั่วแผ่นดินเมืองเอกชะทีตาของพระยาขอม แล้วเมืองก็ได้ถล่มทลายลงเป็นหนองหานหลวง (จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน) ท้าวผาแดงทราบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพวกพญานาค จึงคว้าแขนนางไอ่ขึ้นหลังม้าบักสาม พร้อมกับเก็บเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองและของจำเป็นของเมืองเอกที ตาไปด้วย คือ กลอง และฆ้อง แล้วก็ควบม้าหนีออกจากเมืองเพื่อให้พ้นภัย แต่เนื่องจากนางไอ่ได้รับประทานเนื้อกระรอกเผือกกับเขาด้วย แม้จะหนีไปทางไหนพวกนาคก็ตามไปและทำให้แผ่นดินถล่มถล่มทลายไปด้วย ท้าวผาแดงมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาภูพาน ม้าบักสามกระโดดอย่างสุดฤทธิ์ สองขาหน้าข้ามขอนไปได้แต่สองขาหลังคู้ขึ้นมาไม่ข้าม จึงทำให้ม้าเสียหลักล้มพังพาบลง อวัยวะเพศของม้าไปกระแทกกับภูพานน้อยเป็นร่องลึกลงไป (กลายเป็น "ห้วยสามพาด"ตั้งแต่นั้นมา) จากห้วยสามพาดเพื่อหนีไปเมืองผาโพงของท้าวผาแดงแต่ก็ไร้ผล เพราะถูกพวกนาคติดตามอย่างไม่ลดละนั้นเอง ในที่สุดนางไอ่ก็ถูกพญานาคใช้หางฟาดตกจากหลังม้าและจมหายไปในพื้นดินลงสู่ เมืองบาดาลทันที สุดแรงที่จะตามเมียรักกลับมาได้ทัน   นาง ไอ่จมลงดินหายไปต่อหน้าต่อตา ส่วนท้าวผาแดงและม้าบักสามเองตกใจสุดขีด ท้าวผาแดงได้กระเด็นตกจากหลังม้าบักสามแล้วก็ล้มลงสลบหมดสติไปนาน จนหมอกและน้ำค้างลงจัดจึงได้สติและฟื้นคืนมา หลังจากนั้นท้าวผาแดงและม้าบักสามต่างแข็งใจเดินโซซัดโซเซกลับถึงเมืองผา โพงอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานเกินบรรยาย ด้วยความรัก สงสาร และห่วงหาอาลัยในนางไอ่เมียสุดที่รัก ท้าวผาแดงเกิดตรอมใจคิดถึงแต่นางไอ่ตลอดเวลา ข้าวปลาอาหารต่างๆไม่ยอมเสวยจนผ่ายผอม และแล้วก็ได้ล้มป่วยลง ใน ที่สุดพระองค์ก็ตรอมใจตายบนปราสาทตามนางไอ่ไป โดยก่อนตายพระองค์ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้กลายเป็นผีที่มีอิทธิฤทธิ์และมี บริวารมาก จะได้ตามไปทำสงครามรบกับพวกพญานาคเมืองบาดาล เพื่อไปตามเอาคนรักของตนกลับคืนมา   เมื่อ ท้าวผาแดงตายไปกลายเป็นผี มีความอาฆาตพยาบาทต่อพญานาคอยู่ไม่วาย ครั้นมีโอกาสเหมาะผีท้าวผาแดงก็สั่งไพร่พลวิญญาณผีเตรียมตัวเดินกองทัพผีไป รบกับพวกพญานาคที่เมืองบาดาลให้หายแค้น ซึ่งผีท้าวผาแดงมีบริวารผีเป็นแสน ๆ การเดินทัพมีเสียงดังอึกทึกคึกโครมปานแผ่นดินจะถล่ม และได้รายล้อมเมืองบาดาลซึ่งเป็นเมืองของพญานาคไว้รอบด้าน และแล้วกองทัพทั้งสองก็เปิดศึกสงครามกัน ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน(ชาวมนุษย์ได้ยินเสียง อึกทึกครึกโครม หนองน้ำและแม่น้ำต่างๆก็ขุ่น ดินบนบกก็กลายเป็นฝุ่นตลบไปหมด แต่ชาวมนุษย์ก็มองไม่เห็นตัวอะไรได้ยินแต่เสียง ชาวบ้านต่างเดือดร้อน เพราะว่าจะนำน้ำมาดื่มกินจะหลับจะนอนก็ลำบาก) ผลการรบไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะต่างฝ่ายต่างล้มตายกันมาก โดยเฉพาะเหล่าพญานาคทั้งหลายซึ่งล้มตายมากขึ้นๆ ทุกวันๆ   ฝ่าย"สุ ทโธนาคราช"เจ้าเมืองบาดาลเห็นดังนั้น ซึ่งตัวเองก็แก่ชรามากแล้วด้วย กังวลว่าจะแพ้และสูญพันธุ์นาคแน่ๆหากรบกันยืดเยื้อต่อไป และก็ไม่อยากทำบาปทำกรรมต่อไปอีก เพราะต้องการไปเกิดในภพของพระศรีอาริยเมตไตรย(พระพุทธเจ้าลำดับถัดใน อนาคตกาล) จึงรีบรุดไปขอร้อง "ท้าวสักกะเทวราช" หรือ "พระอินทร์"ผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ให้มาช่วยห้ามผีท้าวผาแดงและเหล่าผีจาก เมืองมนุษย์ให้ด้วย เมื่อพระอินทร์ทราบดังนั้น ท่านจึงได้สั่งให้ “ท้าวเวสสุวัณ”ผู้ เป็นใหญ่หนึ่งในสี่(จตุโลกบาล)ในสวรรค์ชั้น "จาตุมหาราชิกา" หรือ "โลกบาล"ให้มาห้ามศึกและตัดสินความให้ เมื่อท้าวเวสสุวัณได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วนั้น ก็ทรงทราบว่า เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ตามมาให้ผลในชาตินี้นั้นเอง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างๆก็มีเหตุผลพอ ๆ กัน ดังนั้นท้าวเวสสุวัณ จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายเลิกราต่อกันไป ไม่ต้องฆ่ากันให้มีเมตตาต่อกัน ให้รักษาศีลห้าปฏิบัติธรรมและให้มีขันติธรรม ซึ่งทั้งผีท้าวผาแดงและศรีพญาสุทโธนาคราช เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณแล้ว ต่างก็เข้าใจในเหตุผล ต่างฝ่ายต่างอนุโมทนาสาธุการ แล้วเหตุการณ์จึงยุติลงด้วยความเข้าใจอันดีต่อกันและอภัยกันในที่สุด...

   ต่างดวงจิตดวงวิญญาณ ต่างก็ไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ตามบุญตามกรรมที่ได้สร้างสมกันมา
 หนองหานของเมืองสกลนครในปัจจุบันนั้น คือที่ตั้ง “เมืองเอกชะทีตา”ในสมัยโน้นที่จมหายลงไป(หนองที่เกิดจากเมืองจมหายไป = หนองเมืองหาย = หนองเมืองหาน = หนองหาย= หนองหาน หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หนองหานหลวง)
    “ดอนแม่หม้าย”คือ หมู่บ้านแม่หม้าย หรือบ้านดอนแก้ว ที่ไม่ได้ถูกแบ่งเนื้อกระรอกเผือกให้กินจึงไม่จมลงไป(แม่หม้ายสมัยโน้น ถูกรังเกียจ หาว่าไม่มีสามีได้ทำงานรับใช้บ้านเมือง)
 หนอง หานกุมภวาปี(อุดรธานี)คือสถานที่สุดท้ายที่ท้าวผาแดงขี่ม้าพาแฟน(นางไอ่)มา ถึง แต่พญานาคตามมาทันและได้พรากนางไอ่จมลงสู่เมืองบาดาล(หนองที่เกิดจากแฟนจม หายไป = หนองแฟนจมหาย = หนองแฟนหาย = หนองหาย = หนองหาน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หนองหานน้อย)
     แปลกแต่จริง!หนอง หานกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี มีแต่ดอกบัวสีชมพูและสีแดงเกิดขึ้นตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน(ทะเลบัวชมพู หรือทะเลบัวแดง)...ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
 ประเพณี “บุญบั้งไฟ”ที่ยิ่งใหญ่และงดงามของชาวอีสานยังบอกกล่าวเล่าเรื่องราวของ “ผาแดง-นางไอ่”สู่รุ่นลูกหลานจนถึงปัจจุบันนี้...น่าศึกษาจริงๆ
     ประเพณี “แห่ผีตาโขน”(อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย) ที่ตั้ง “เมืองผาโผง”ของ เจ้าชายผาแดง ที่พระองค์ตรอมใจตายบนปราสาทแล้วกลายไปเป็นผี แล้วเตรียมขบวนกองทัพผีไปปราบพวกพญานาคเมืองบาดาล...เป็นประเพณีตรงกันตาม ตำนาน...และมีการปฏิบัติเป็นประเพณีสืบมาจนปัจจุบัน..ซึ่งตรงกันกับ อดีต...ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
     ที่ตั้ง “พระธาตุศรีสองรัก”(อำเภอ ด่านซ้าย จังหวัดเลย)คือสถานที่ๆท้าวเวสสุวัณได้ไกล่เกลี่ยให้กองทัพผีของผาแดงกับกอง ทัพของพญานาคเมืองบาดาลได้เจรจาสงบศึกและให้อภัยกัน...แปลกแต่จริง!...พระ ธาตุนี้สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา(พระมหาจักรพรรดิ)ของราชอาณาจักรสยาม กับ พระไชยเชษฐากำแพงนครเวียงจันทร์ของราชอาณาจักรล้านช้าง(ลาว) ได้ทำไมตรีเป็นพันธมิตรไม่รุกรานกัน และจะร่วมต่อต้านการรุกรานของพม่าหงสาวดี...โดยพระธาตุนี้ห้ามนุ่งชุด "สีแดง"หรืออะไรที่เกี่ยวกับสีแดงเข้าไปกราบไหว้สักการะบูชา???...และก็ยังปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้!...
   “เมืองหรือกรุงสาเกตุนคร” คือ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด (ในปัจจุบัน)
 “เมืองหรือกรุงศรีโคตรบูรณ์”คือ จังหวัดนครพนม (ในปัจจุบัน)
 “เมืองหรือกรุงอินทรปัตถ์” คือ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา (ในปัจจุบัน)
 “เมืองฟ้าแดดสูงยาง”ของพระยาแดด ก็คือ จังหวัดกาฬสินธุ์ (ในปัจจุบัน)
 “เมืองเชียงเหียน”ของพระยาเชียงเหียน ก็คือ อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม (ในปัจจุบัน)
 “เมืองหงส์ คือ อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด (ในปัจจุบัน) 
 “เมืองไพร” คือ อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด (ในปัจจุบัน)
 “เมืองทอง” คือ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด (ในปัจจุบัน) ฯลฯ
 “ม้าบักสาม”คือ เทวดาที่ลงมาเกิดเพื่อรับใช้ท้าวผาแดง
         แปลกแต่จริง! ที่ “ป่าคำชะโนด” อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จะเป็นทางขึ้นลงแห่งหนึ่งของเหล่าพญานาค ที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองบาดาล กับ โลกมนุษย์ ซึ่งมีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้
         สถาน ที่ๆเกี่ยวข้องกับตำนานนี้ ล้วนศักดิ์สิทธิ์และมีปาฏิหาริย์เป็นที่ประจักษ์มาจนถึงทุกวันนี้ และตลอดไป...(มีคนไปลองและพิสูจน์มาแล้ว...ล้วนเจอดีและมีอันเป็นไปต่างๆ นาๆ)..         
                                 

                                    




ที่มา    http://atcloud.com/stories/48676

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น